Search

“ข้อสังเกต เกี่ยวกับการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรั...

  • Share this:

“ข้อสังเกต เกี่ยวกับการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 13 ฉบับ”
สิทธิกร ศักดิ์แสง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสุราษฎร์ธานี
หลังจากที่สมาชิกรัฐสภาลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 13 ร่างเสร็จสิ้นในเวลา 23.25 น. วันที่ 24 มิถุนายน โดยใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นเป็นการนับคะแนน
โดยหลังจากใช้ระยะเวลาในการนับคะแนนนานกว่า 2 ชั่วโมง นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมได้ประกาศต่อที่ประชุม ว่า กฎหมายกำหนดไว้ว่าการลงคะแนนในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา ซึ่งในจำนวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ทั้งหมดของสภา

ในปัจจุบัน รัฐสภามีสมาชิกที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ 733 คน ดังนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งคือ 367 เสียง วุฒิสมาชิก 1 ใน 3 คือ 84 คน

ร่างที่ 1 : พรรคพลังประชารัฐ 5 ประเด็น 13 มาตรา มติรับหลักการ 334 คะแนน เป็น ส.ส. 334 คะแนน ส.ว. 0 คะแนน ไม่รับหลักการ 199 คะแนน เป็น ส.ส. 71 คะแนน วุฒิสมาชิก 128 คะแนน งดออกเสียง 173 คะแนน เป็น ส.ส. 75 คะแนน วุฒิสมาชิก 98 คะแนน เท่ากับร่างนี้ไม่ผ่านกระบวนการ

ร่างที่ 2 : พรรคเพื่อไทย-เพิ่มสิทธิขั้นพื้นฐาน มีมติรับหลักการ 399 คะแนน เป็น ส.ส. 393 คะแนน วุฒิสมาชิก 6 คะแนน ไม่รับหลักการ 136 คะแนน เป็น ส.ส. 8 คะแนน วุฒิสมาชิก 128 คะแนน งดออกเสียง 171 คะแนน เป็นส.ส. 79 คะแนน วุฒิสมาชิก 92 คะแนน เท่ากับร่างที่ 2 นี้ก็ไม่ผ่านขั้นรับหลักการ

ร่างที่ 3 : พรรคเพื่อไทย-เปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นบัตร 2 ใบ มีมติรับหลักการ 376 คะแนน เป็น ส.ส. 340 คะแนน วุฒิสมาชิก 36 คะแนน ไม่รับหลักการ 89 คะแนน งดออกเสียง 241 คะแนน เท่ากับร่างที่ 3 ก็ไม่ผ่านขั้นรับหลักการ

ร่างที่ 4 : พรรคเพื่อไทย-ที่มานายกรัฐมนตรี มีมติรับหลักการ 455 คะแนน เป็น ส.ส. 440 คะแนน วุฒิสมาชิก 15 คะแนน ไม่รับหลักการ 101 คะแนน งดออกเสียง 150 คะแนน เท่ากับร่างที่ 4 นี้ก็ไม่ผ่านขั้นรับหลักการ

ร่างที่ 5 : พรรคเพื่อไทย-รื้อมรดกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีมติรับหลักการ 327 คะแนน เป็น ส.ส. 326 คะแนน วุฒิสมาชิก 1 คะแนน ไม่รับหลักการ 150 คะแนน งดออกเสียง 229 คะแนน เท่ากับร่างที่ 5 นี้ก็ไม่ผ่านขั้นรับหลักการ

ร่างที่ 6 : พรรคภูมิใจไทย-ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีมติรับหลักการ 454 คะแนน เป็น ส.ส. 419 คะแนน วุฒิสมาชิก 35 คะแนน ไม่รับหลักการ 86 คะแนน งดออกเสียง 166 คะแนน เท่ากับ ไม่รับหลักการ

ร่างที่ 7 : พรรคภูมิใจไทย-รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีมติรับหลักการ 476 คะแนน เป็น ส.ส. 421 คะแนน วุฒิสมาชิก 55 คะแนน ไม่รับหลักการ 78 คะแนน งดออกเสียง 152 คะแนน เท่ากับร่างที่ 7 ก็ไม่ผ่านขั้นรับหลักการ

ร่างที่ 8 : พรรคประชาธิปัตย์-เพิ่มสิทธิขั้นพื้นฐาน ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีมติรับหลักการ 469 คะแนน เป็น ส.ส. 421 คะแนน วุฒิสมาชิก 48 คะแนน ไม่รับหลักการ 75 คะแนน งดออกเสียง 162 คะแนน เท่ากับร่างที่ 6 ก็ไม่ผ่านขั้นรับหลักการ

ร่างที่ 9 : พรรคประชาธิปัตย์-ตัดอำนาจ ส.ว.แก้รัฐธรรมนูญ ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีมติรับหลักการ 415 คะแนน เป็น ส.ส. 400 คะแนน วุฒิสมาชิก 15 คะแนน ไม่รับหลักการ 102 คะแนน งดออกเสียง 189 คะแนน เท่ากับร่างที่ 9 ก็ไม่ผ่านขั้นรับหลักการ

ร่างที่ 10 : พรรคประชาธิปัตย์-แก้การตรวจสอบ ป.ป.ช. ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีมติรับหลักการ 431 คะแนน เป็น ส.ส. 398 คะแนน วุฒิสมาชิก 33 คะแนน ไม่รับหลักการ 97 คะแนน งดออกเสียง 178 คะแนน เท่ากับร่างที่ 10 ก็ไม่ผ่านขั้นรับหลักการ

ร่างที่ 11 : พรรคประขาธิปัตย์-ที่มานายกรัฐมนตรี ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีมติรับหลักการ 461 คะแนน เป็น ส.ส. 440 คะแนน วุฒิสมาชิก 21 คะแนน ไม่รับหลักการ 96 คะแนน งดออกเสียง 149 คะแนน เท่ากับร่างที่ 11 ก็ไม่ผ่านขั้นรับหลักการ

ร่างที่ 12 : พรรคประชาธิปัตย์-กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีมติรับหลักการ 457 คะแนน เป็นส.ส. 407 คะแนน วุฒิสมาชิก 50 คะแนน ไม่รับหลักการ 82 คะแนน งดออกเสียง 167 คะแนน เท่ากับร่างที่ 12 ก็ไม่ผ่านขั้นรับหลักการ

ร่างที่ 13 : พรรคประชาธิปัตย์-เปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นบัตร 2 ใบ ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีมติรับหลักการ 552 คะแนน เป็น ส.ส. 342 คะแนน วุฒิสมาชิก 210 คะแนน ไม่รับหลักการ 24 คะแนน งดออกเสียง 130 คะแนน เท่ากับร่างที่ 13 คะแนนเกินกึ่งหนึ่ง และได้เสียงจากวุฒิสมาชิกเกิน 1 ใน 3 ดังนั้น ร่างนี้จึงผ่านขั้นรับหลักการ
จากนั้นได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (แก้ไขเพิ่มเติม) ฉบับที่ … พ.ศ. … จำนวน 45 คน แบ่งเป็น ส.ว. 15 คน และ ส.ส. 30 คน ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 8 คน พรรคพลังประชารัฐ 8 คน พรรคภูมิใจไทย 4 คน พรรคก้าวไกล 3 คน พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน พรรคเสรีรวมไทย 1 คน พรรคประชาชาติ 1 คน และพรรคเศรษฐกิจใหม่ 1 คน และจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ กมธ. หากผู้ใดมีความประสงค์จะแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นใดก็ให้เสนอคำแปรญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อ กมธ.ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่สภารับหลักการ

เมื่อพิจารณาสรุปการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เท่ากับร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอมา 13 ฉบับนั้น มีข้อพิจารณา ดังนี้
1. ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่รับหลักการ เงื่อนไขจำนวนเกินกึ่งหนึ่ง แต่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข การรับหลักการนั้น ไม่เสียงมีจำนวน ส.ว. เห็นด้วย 1 ใน 3
2. ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ไม่รับหลักการ คือ เสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งและส.ว.ไม่ถึง 1 ใน 3
3. ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมีการรับหลักการและเป็นไปตามเงื่อนไขเสียง ส.ว. มีเสียง ส.ว. เห็น 1 ใน 3

สรุปได้ว่า มีฉบับที่ 13 ผ่านเพียงฉบับเดียว

ข้อสังเกตเกี่ยวการผ่านพิจารณรารับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 13
กล่าวคือ ร่างที่ 13 : พรรคประชาธิปัตย์-เปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นบัตร 2 ใบ ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดังนี้
1. ร่างนี้ไม่ถือเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
2.ร่างนี้พรรคการเมืองพรรคใหญ่ และพรรคการเมืองที่มีฐานคะแนนเสียงย่อมได้เปรียบ
3.ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับ 13 ที่เสนอ โดย ปชป.และพรรคร่วม คือ ภูมิใจไทยและขาติไทยพัฒนาสนับสนุนก็จริง แต่ก็เป็นการเสนอเข้าทางหรือเกมส์พรรคประชารัฐ ที่ต้องการให้ ส.ว. อยู่ที่เลือกนายกรัฐมนตรีได้ เมื่อยุบสภา คนของพรรคประขารัฐก็จะได้ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็คือ ประยุทธ์ ได้กลับมาอีก
4. เกมส์นี้เป็นการซื้อเวลาลดกระแส ทางการเมืองกับการรักษาคำพูด ว่าต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
5.เกมส์การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามร่างฉบับที่ 13 พรรคที่เสียเปรียบ คือ พรรคเล็กและพรรคก้าวไกล เนื่องจากดูจากเขต แล้วไม่ค่อยได้ เมื่อแยกบัญชีรายชื่อกับ เขต เป็น 2 ใบ ทำให้ชัดเจนว่า จำนวน ส.ส. ลดแน่นอน เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อ เกินโควต้า ถ้ายกเลิกโควต้า คือ ใช้บัตร 2 ใบ ส.ส.เขตก็ได้ บัญชีรายชื่อก็ได้
6. การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ จะมีปัญหาในวาระ ที่ 3 ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ กล่าวคือ วาระที่ 2 เป็นขั้นพิจารณาเรียงรายมาตรา ให้ถือเสียงข้างมาก คือ ส.ส. หรือ ส.ว.ก็ได้รวมกันให้ได้ 375 เสียงขึ้นไป แต่หากเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นผู้เสนอ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนประชาชนเสนอความคิดเห็นด้วย จากนั้นรอ 15 วัน จึงเข้าวาระที่ 3 ไม่น่าจะมีปัญหา แต่จะมีปัญหา ในวาระที่ 3 เป็นขั้นสุดท้าย ตรงเงื่อไขพิเศษ ต้องได้รับเสียงเห็นชอบเกินครึ่งหนึ่งของทั้งสองสภา คือ ส.ส.+ส.ว. ต้องได้เสียง 376 ขึ้นแต่มีเงื่อนไขพิเศษกำหนด ดังนี้
1) ต้องมี ส.ส. จากพรรคที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน
2)สมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
ในวาระที่ 3 ปัญหาตรงเงื่อนไขพิเศษ 1) ต้องมี ส.ส. จากพรรคที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน ประเด็นนี้น่าจะมีปัญหาถ้าพรรคฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก่ไขเพิ่มเติม


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts